INNOVATIVE BUSINESS MANAGEMENT MODELS FOR HOMESTAYS IN CHIANG MAI

Abstract

This research aimed to 1) investigate the current situation, challenges, and obstacles faced by homestay businesses in Chiang Mai Province, 2) identify factors influencing the success of homestay businesses in Chiang Mai Province, and 3) propose an innovative business management model for homestays in Chiang Mai Province. A mixed-methods approach was employed. Qualitative data were collected through in-depth interviews with key informants, specifically executives involved in the conservation and environmental management of the Gulf of Thailand in Rayong Province, and through a focus group discussion with 20 homestay entrepreneurs. Content analysis was used for qualitative data. Quantitative data were gathered using questionnaires administered to 320 homestay tourists in Chiang Mai Province aged 18 years and above. Data analysis involved descriptive statistics, including mean and standard deviation, and structural equation modeling.

The findings indicate that 1) in recent years, the homestay business in Chiang Mai has experienced significant growth, becoming a vital component of tourism in Northern Thailand. However, from 2020-2021, the sector faced substantial challenges due to the COVID-19 pandemic, leading to a decline in tourist numbers and the closure of many businesses. Following the gradual recovery in late 2021, homestay businesses in Chiang Mai began to rebound, with a more pronounced recovery in 2022-2023 as Thailand reopened to international tourists, resulting in a continuous increase in homestay occupancy rates. Key challenges and obstacles confronting homestay businesses in Chiang Mai include internal issues such as intense competition, shortage of qualified personnel, environmental impact, inconsistent income, adaptation to technology, balancing local authenticity with modernity, safety and hygiene management, coping with PM 2.5 dust pollution, and diverse tourist demands. External challenges include insufficient government support, impacts of climate change, infrastructure problems, changes in community lifestyles, and the effects of epidemics. 2) The success of homestay businesses in Chiang Mai Province was most significantly influenced by product and service innovation, followed by management innovation and marketing innovation, respectively. 3) The proposed innovative homestay business management model for Chiang Mai Province aims to enhance service quality, increase competitiveness, and promote sustainable development of homestay businesses in the area. This model emphasizes five key areas of innovation: management innovation, product and service innovation, marketing innovation, sustainability innovation, and network and collaboration innovation. Entrepreneurs should initiate by assessing their status, setting clear objectives, and systematically planning innovation development. Furthermore, fostering collaboration with various sectors, including government agencies, educational institutions, and local communities, will contribute to establishing an ecosystem conducive to long-term innovation development.

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาถึงสถานการณ์ปัจจุบัน ปัญหา และอุปสรรคของธุรกิจโฮมสเตย์ในจังหวัดเชียงใหม่ 2) ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จของธุรกิจโฮมสเตย์ในจังหวัดเชียงใหม่ และ 3) เสนอรูปแบบการจัดการธุรกิจนวัตกรรมโฮมสเตย์ในจังหวัดเชียงใหม่ การวิจัยนี้ใช้วิธีการวิจัยแบบผสานวิธี โดยการวิจัยเชิงคุณภาพดำเนินการเก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกกับกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ซึ่งเป็นผู้บริหารด้านการอนุรักษ์และการจัดการสิ่งแวดล้อมของอ่าวไทยในจังหวัดระยอง และจัดการสนทนากลุ่มกับผู้ประกอบการธุรกิจโฮมสเตย์จำนวน 20 คน จากนั้นจึงนำมาวิเคราะห์เนื้อหา สำหรับการวิจัยเชิงปริมาณ ผู้วิจัยได้เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามจากนักท่องเที่ยวที่เข้าพักโฮมสเตย์ในชุมชนจังหวัดเชียงใหม่ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป โดยกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างที่ 320 คน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนาเพื่อหาค่าเฉลี่ยและค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน รวมถึงเทคนิคแบบจำลองสมการโครงสร้าง

ผลการวิจัยพบว่า 1) ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ธุรกิจโฮมสเตย์ในเชียงใหม่มีการเติบโตและเป็นส่วนสำคัญของการท่องเที่ยวในภาคเหนือ อย่างไรก็ตาม ในช่วงปี พ.ศ. 2563-2564 ธุรกิจต้องเผชิญกับความท้าทายจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงและผู้ประกอบการหลายรายต้องปิดกิจการ หลังจากสถานการณ์เริ่มคลี่คลายในช่วงปลายปี พ.ศ. 2564 ธุรกิจโฮมสเตย์ในเชียงใหม่ก็เริ่มฟื้นตัว และมีการฟื้นตัวที่ชัดเจนยิ่งขึ้นในปี พ.ศ. 2565-2566 เมื่อประเทศไทยเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่งผลให้อัตราการเข้าพักโฮมสเตย์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัญหาและอุปสรรคหลักที่ธุรกิจโฮมสเตย์ในจังหวัดเชียงใหม่กำลังเผชิญอยู่มีหลากหลายประเด็น ได้แก่ ปัญหาภายในธุรกิจ เช่น การแข่งขันสูง การขาดแคลนบุคลากรที่มีคุณภาพ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รายได้ไม่สม่ำเสมอ การปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยี การรักษาสมดุลระหว่างความเป็นท้องถิ่นกับความทันสมัย การจัดการด้านความปลอดภัยและสุขอนามัย การรับมือกับปัญหาฝุ่น PM2.5 และความแตกต่างของความต้องการของนักท่องเที่ยว ส่วน ปัญหาภายนอกธุรกิจ ได้แก่ การขาดการสนับสนุนจากภาครัฐ ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัญหาโครงสร้างพื้นฐาน การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตชุมชน และผลกระทบจากโรคระบาด 2) ความสำเร็จของธุรกิจโฮมสเตย์ในจังหวัดเชียงใหม่ได้รับอิทธิพลจาก นวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการ มากที่สุด รองลงมาคือนวัตกรรมการบริหารจัดการ และนวัตกรรมด้านการตลาด ตามลำดับ และ 3) รูปแบบการจัดการนวัตกรรมธุรกิจโฮมสเตย์ในจังหวัดเชียงใหม่มีเป้าหมายเพื่อยกระดับคุณภาพการให้บริการ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนของธุรกิจโฮมสเตย์ในพื้นที่ โดยมีนวัตกรรมสำคัญ 5 ด้าน ได้แก่ นวัตกรรมการบริหารจัดการ นวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการ นวัตกรรมด้านการตลาด นวัตกรรมด้านความยั่งยืน และนวัตกรรมด้านเครือข่ายและความร่วมมือ ผู้ประกอบการควรเริ่มต้นจากการประเมินสถานะปัจจุบัน กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน และวางแผนการพัฒนานวัตกรรมอย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ การสร้างความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ สถาบันการศึกษา และชุมชนท้องถิ่น จะช่วยเสริมสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการพัฒนานวัตกรรมในระยะยาว